
เจ้าหญิงงู รถยนต์แล่นจอดถึงหน้าพระตำแหนักของเจ้าหญิงงู อย่างเงียบสงบ เช่นเดียวกับผู้โดยสารทั้ง 5 คนที่อยู่ในรถ ทุกคนไม่มี่ใครพูดอะไร ไม่มีใครกล้าขยับ โดยไม่มีเหตุผล ระวีตั้งสติเอามือจับพี่ทิดที่ห้อยอยู่ในตัวเสื้อ “ พี่ทิดปกป้องคุ้มครองลูกหลานด้วย” ระวีอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลในใจ
เธอตั้งสติหันไปมองทีมงาน แล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า “ ลงไปกันเถิดค่ะทุกคน จะรออะไรกันคะ? “ นั่งแหละทุกคนจึงได้สติ และเปิดประตูรถออกไปยืนที่ประตูหน้าตำหนัก ตำหนักของเจ้าหญิงงู ไม่ได้วิจิตตระการตา หรือใหญ่โตโออ่าแต่อย่างไร แต่เป็นตำหนักที่เป็นบ้านไม้สองชั้นขนาดใหญ่
หน้าบ้านมีพื้นที่ที่เป็นสนามหญ้าประมาณ 300-400 ตารางเมตร ระวีพอจะเข้าใจเพราะได้คุยกับเจ้าของหนังสือสารคดีที่ระวีอ่านเพื่อตามรอย เค้าบอกว่าเจ้าหญิงไม่โปรดที่จะอยู่ในวังเพราะอยากจะออกมาอยู่ใกล้ชิดกับประขาชนของท่าน
ถ้าใครได้อ่านประวัติศาสตร์ทางการสงครามของกัมพูชาก็จะรู้ว่า ในยุคสมัยที่ยังมีสงคราม ฝรั่งเศสต้องการไล่ประชาชนของกัมพูชาออกไปจากเมืองจึงออกอุบายให้คนมีอำนาจในประเทศประกาศว่า ถ้าประชาชนทุกคนออกไปจากเมืองให้หมดฝรั่งเศสจะยุติสงคราม ประชาชนได้ยินประกาศก็มีความเชื่อจึงอพยพออกจากบ้านเรือนเข้าป่าไปจนหมดสิ้น
บ้านเมืองกลายเป็นเมืองร้างไม่มีคนอยู่อาศัย และเจ้าหญิงงูเองท่านก็อพยพเข้าป่าเช่นเดียวกับประชาชนของท่าน พร้อมกับลูกๆ ทุกคนที่อพยพไปอยู่ในป่าต่างพบความยากลำบากและเสียชีวิตไปจำนวนมาก เจ้าหญืงงูเองก็สูญเสียพระราชธิดาพระราชโอรสไปหมดสิ้น พระองค์เองก็กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดมาได้พร้อมกับเครื่องประดับ
ที่เป็นเพชรนิลจินดา ทองคำที่ทรงซุกซ่อนไว้เมื่ออพยพออกจากเมือง และเก็บรักษาไว้ในช่วงที่ใช้ชีวิตในป่า โดยมีชาวบ้านหมู่บ้านหนึ่งได้คอยดูแลให้ความช่วยเหลือพระองค์จนรอดชีวิตกลับมา ทำให้เจ้าหญิงงูผูกพันกับหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างมาก จึงทรงเสร็จไปทอดผ้าป่าในทุกๆปีไม่เคยขาดเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจและบุญคุณที่ชาวบ้านหมู่บ้านนี้ได้ช่วยพระองค์ไว้
หลังสงคราม เมื่อประชาชนได้รับอนุญาตให้กลับมาในเมืองได้ ความโกลาหลก็เกิดขึ้น เมื่อกลับเข้ามาแทบไม่มีใครได้กลับมาอยู่บ้านเดิมของตนเลย เพราะกฎกติกาตอนนั้นคือ ใครก็ตามที่เข้ามาจับจองได้ก่อน บ้านก็จะเป็นก็เป็นของคนนั้นโดยปริยาย ไม่มีการอ้างสิทธิการเป็นเจ้าของบ้านใดๆทั้งสิ้น
ดังนั้นพระตำหนักที่เจ้าหญิงงูทรงประทับอยู่ก็เคยเป็นบ้านของประชาชนที่เป็นเศรษฐีมาก่อน และประชาชนที่สามารถมาจับจองไว้ได้ ยกให้กับเจ้าหญิงงูเป็นตำหนักที่ประทับนับแต่นั้นมา ระวียืนอยู่ใกล้ประตูบ้านมากที่สุด เธอตัดสินใจกดกริ่งหน้าบ้านด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก กดกริ่งได้สักพัก ก็มีหญิงสาวร่างบอบบาง ผิวสองสี
เกล้ามวยผมสูงแบบสตรีสูงศักดิ์ของกัมพูชา เดินออกมาจากบ้าน เมื่อมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้ว เธอจ้องมองหน้าระวีอย่างตั้งใจ ระวีจ้องหน้าผู้หญิงคนนั้นกลับแต่ไม่ถึงกับเสียมารยาท แล้วยกมือขึ้นไหว้และกล่าวว่า “ใช้ตำหนักของเจ้าหญิงงู หรือเปล่าคะ ?” หญิงสาวผู้นั้นยิ้มเยือกเย็นในหน้า และพูดขึ้นในขณะที่เปิดประตูให้ว่า
“เชิญค่ะ เจ้าหญิงงูรอคุณอยูค่ะ”
รออยู่ ? อะไรกัน รู้ได้อย่างไรว่าเราจะมา แต่ในขณะที่เกิดความกังขา ระวีก็ได้ก้าวข้ามประตูตามหญิงสาวไป โดยทีมงานก็เดินตามเข้ามาด้วยโดยปริยาย แต่ยังไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตูรั้วได้สักเท่าไหร่ ระวีก็ต้องชะงักและเกิดอาการตัวแข็งทื่ออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เพราะสิ่งที่เธอเห็นบนสนามหน้าที่อยู่ห่างจากประตูรั้วไม่ถึงเมตรคือ งูหลามและงูเหลือมลำตัวอวบอ้วนใหญ่ยักษ์ ขดตัวและชูหัวอยู่บนสนามหญ้าที่ไม่ได้กักขังในกรงแต่อย่างไร ระวีรู้สึกว่ามันจ้องตัวจ้องมองมาที่เธอเพียงคนเดียว ระวีกลัวงูอย่างที่สุด ใจเธอเต้นโครมคามด้วยความหวาดกลัว ระวีรู้สึกได้ว่าสีหน้าของตนเองคงถอดสีจนซีดขาว
หญิงสาวคนที่เปิดประตูให้เธอ เดินมาจับมือเธอบีบเบาๆและยิ้มพร้อมกับพูดว่า
“ไม่ต้องกลัวนะคะ เขาไม่มีวันทำอะไรคุณหรอกค่ะ ไปเถอะค่ะ เจ้าหญิงให้พาคุณไปที่ห้องรับแขกค่ะชั้นบนค่ะ ท่านรอคุณอยู่ที่นั่น” รออยู่… รออยู่…รออยู่…อีกแล้วหรือ ระวีคิดในใจ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ระวีเดินตามหญิงสาวไปเพื่อจะขึ้นไปชั้นสอง ทีมงานทั้งสอง นวมทั้งหนุ่มน้อยชาวกัมพูชาที่มีท่าทาง ตื่นเต้นก็จะเดินตามไปด้วย แต่หญิงสาวได้หันกลับมาบอกว่า
“ขอโทษทั้งสี่ท่านด้วยนะคะ เจ้าหญิงอนุญาตให้คุณระวีเข้าเฝ้าได้แค่คนเดียว ส่วนท่านอื่นท่านให้รับรองที่ห้องรับแขกด้านล่างนี้เท่านั้นค่ะ และต้องขออภัยเป็นอย่างมากที่ดิฉันไม่ได้แนะนำตัวเอง ดิฉันเป็นขนิษฐาของเจ้าหญิงงูค่ะ ยินดีต้อนรับ และขอให้นั่งพักผ่อนรอตามสบายนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะให้คนเอาน้ำดื่มมาให้ค่ะ”
กล่าวเสร็จเธอก็เดินนำหน้าระวีขึ้นบันไดไปยังห้องรับแขกบนตำหนักชั้นสอง ทุกคนมองเธอด้วยความทึ่งถึงความ เจ้าชายปลา ไม่ถือตัว ระวีเดินก้าวตามอย่างระมัดระวัง ความตระหนกตกใจจากการได้พบเจ้าเหลือมเจ้าหลามขนาดใหญ่เมื่อครู่ยังจากหายไปไม่หมด ขนิษฐาของเจ้าหญิงได้พาเธอมานั่งที่ห้องรับแขก ชั้นบน เพื่อรอเจ้าหญิง
ตำแหน่งที่ระวีนั่ง มองเห็นห้องใหญ่สองห้องด้ายหน้า ห้องหนึ่งปิดประตูไว้ ส่วนอื่นห้องหนึ่ง หน้าประตูมีกระกระดิ่งจำนวนมากแขวนอยู่ แสงในห้องสลัวไม่เปิดสว่าง เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าฝาผนังของบันไดที่เดินขึ้นมามีภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่มากๆติดอยู่ ในภาพเป็นหญิงสาว รูปร่างสูงใหญ่สง่างามอยู่ในอิริยาบถของการยืน แต่ลำตัว ครึ่งตัว
ซีกขวาของหญิงสาวมีเมตตา สวมอาภรณ์สีขาว มือถือดอกบัว ในขณะที่ลำตัวซีกซ้าย สีหน้าดุดันเข้มแข็ง สวมชุดนักรบหญิง มือถือดาบ เป็นภาพที่แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ระวีนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์แปลกๆต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงงู อย่างถี่ถ้วนเพื่อหาคำตอบให้กับคำถามในหลายๆข้อที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้
แล้วเสียงสั่นกระดิ่ง และเสียงสวดมนต์เป็นภาษาที่ไม่คุ้นเคย แต่ทว่าเสียงแหลมสูงก็ดังลั่น ออกมาจากห้องที่มีกระดิ่งแขวนอยูด้านหน้า เสียงบทสวดเหมือนภาษาเขมรที่ดังกังวานโหยหวนจนใจระวีกระเพื่อม เสียงสวดมนต์และเสียงกระดิ่งดังสม่ำเสมอร่วม 10 นาที ก็หยุดลง และทันใดนั้น ร่างสูงใหญ่ร่วม 190 เซนติเมตรก็ปรากฏขึ้นหน้าประตูห้อง เธอนุ่งผ้าสีขาวทั้งชุด สวมข้อแขน คอ กำไรละจี้ห้อยคอ ทุกชิ้นล้วนเป็นรูปงูทั้งสิ้น
ระวียืนขึ้นและยกมือไหว้ค้อมศีรษะและลำตัวด้วยความนอบน้อม เธอถอนสายบัวตามที่คิดว่าควรจะทำ เพราะไม่ต้องบอกก็รูว่าสตรีสูงใหญ่ท่าทางสง่างาม น่าเกรงขามท่านนี้คือ “เจ้าหญิงงู” ที่เธอตามหา
เจ้าหญิงงูเดินมาที่เธอ เธอยิ้มและเอาพระหัตถ์ทั้งสองมาโอบมือของระวีที่กระพุ่มไหว้ แล้วตรัสถามอย่างมีเมตตาว่า
“เหนื่อยไหมคุณระวี ขอโทษนะที่ทำให้ต้องเหนื่อยแล้รอนานกว่าจะได้พบกัน” แค่การทักทายของเจ้าหญิงก็สร้างความฉงนให้กับระวีมากมายเพิ่มขึ้นกว่าเก่าอีก
“นั่งสิคุณระวี ทำตัวตามสบาย ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ไม่ได้กลับมาเสียนาน คุยกับเราไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์นะ พูดกันธรรมดาๆ เพราะเดี้ยวจะไม่รู้เรื่องกันใหญ่” เอาอีกล่ะ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ท่านกล่าวอะไรออกมานะ ระวีรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อยกับคำทักทายของเจ้าหญิงงู
“ไม่ใช้คุณระวีนะที่อดทนรอพบเรา เราก็ต้องอดทนที่จะรอพบคุณระวีเหมือนกัน เราเห็นแล้วว่าคุณเหนื่อยแค่ไหนที่เมืองไทยก่อนจะเดินทางมาหาเราที่นี่ แต่เราจำเป็นต้องตรวจสอบคุณระวีให้แน่ใจก่อนว่า คุณมีคุณสมบัติเป็นคนดีหรือเปล่า จึงใช้เวลาตรวจสอบคุณและทีมงานนานหน่อย จนแน่ใจว่าทุกคนเป็นคนดีโดยเฉพาะคุณ เราจึงเปิดทางให้เข้ามาพบเราได้” คำตอบเกี่ยวกับเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้น กระจ่างใจระวีแล้วในยามนี้ เจ้าหญิงงูสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดีและฟังเข้าใจง่าย
“ในวันพรุ่งนี้เราจะอนุญาตให้คุณระวีนำทีมงานมาเข้าพบเราได้ตอน 9 โมงเช้า จะช่วยทำพิธีขจัดสิ่งเลวร้ายออกไปจากชีวิตของทุกคนให้ แต่ไม่ต้องเอาเด็กน้อยชาวเขมรสองคนมานะ เราจะสื่อสารกับพวกคุณด้วยตัวเอง ทำพิธีเสร็จแล้วก็กลับได้ ส่วนในวันถัดไป เราจะพาคุณระวีไปทอผ้าป่ากับหมู่บ้านที่เคยช่วยชีวิตเราในตอนสงคราม เราให้คุฯระวีไปคนเดียว ไม่ต้องกังวล เราเตรียมของถวายผ้าสำหรับของเราและสไหรับของคุณไว้แล้ว นั่นไง”
ระวีมองตามมือเจ้าหญิง คุณพระ สิ่งที่เห็นคือ เครื่องอัฐบริขารที่เตรียมถวายพระจำนวน 2 ชุด มีของเราด้วยจริงๆ นี่ท่านรู้จริงๆว่าเรากำลังมาหาถึงเตรียมไว้ให้พร้อม
ระวีนั่งสนทนากับเจ้าหญิงร่วม ครึ่งชม. โดยได้นำความระลึกถึงจากผู้เขียนหนังสือสารคดีที่เคยได้มาเข้าเฝ้าและสัมภาษณ์เจ้าหญิงมาให้ ท่านก็ฝากคำขอบคุณกลับไปให้
“เอาล่ะเดี๋ยววันนี้คุณระวีกลับไปพักผ่อนก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาพบกันใหม่ 9 โมง ตอนทำพิธี ขอบคุณนะที่อดทนรอเราจนได้พบกัน ไปสิเดี้ยวเราเดินไปส่ง อย่างไม่ถือองค์เจ้าหญิงงูเดินมาโอบไหล่เราเดินไปยังชั้นล่าง
ทันที่ที่ประทับยืนอยู่ตรงหน้าทีมงานทุกคนก็ทำความเคารพด้วยการถอนสายบัว ซึ่งท่านก็รีบกล่าว่า
“ไม่เป็นไรไม่ต้องหรอก แค่ยกมือไหว้ก็พอแล้ว เราบอกคุณระวีไปแล้วว่พรุ่งนี้ให้ทุกท่านมาพบเรา รายละเอียดภามคุณระวีเอานะ ไปๆเราเดินไปส่งคุณ”
ระวีและทีมงานเดินตรงไปที่ประตูหน้าตำหนัก เจ้าเหลือมหลายยังอยู่ตำแหน่งเดิม ยังไงระวีก็ไม่มีวันชินหรือหายหวานกลัว เจ้าหญิงมองไปที่เจ้างูทั้งสองตัว แล้วพึมพำอะไรออกมาเบา น่าอัศจรรย์แท้ เพราะพอสิ้นเสียงพึมพำของเจ้าหญิงเจ้างูทั้งสองตัวก็เลื้อยมุ่งหน้าไปยังกำแพงตำหนักอีกด้านที่ไกลกับประตูเป็นอย่างมาก
“แล้วพบกันนะคะ” เจ้าหญิงกล่าวลา ระวีและเพื่อนยกมือสวัสดีด้วยความรู้สึกที่ปลื้มปิติ และเดินทางกลับโรงแรม
นี่เป็นเพียงความน่าอัศจรรย์ของความลี้ลับในทางไสยศาสตร์ของเจ้าหญิงงู อย่าลืมติดตามตอนต่อไป ว่าระวีและทีมงานจะโดนเจ้าหญิงงูทดสอบในทางไสยศาสตร์อย่างไรอีก แล้วพบกันในตอนหน้านะคะ
แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook